วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คาถาพระเจ้า 16 พระองค์(เสกข้าวกินก็ได้)

คาถาพระเจ้า 16 พระองค์(เสกข้าวกินก็ได้)


หากจะเสกข้าวกิน  ก่อนกินข้าวคำแรก ให้ตั้งนะโม 3 จบระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยคุณพ่อแม่ คุณครูอาจารย์ คุณพระแม่โพสพ ฯลฯ แล้วท่องว่า



“นะมะ นะอะ  นอกอนะกะ  
กอออ นออะ   นะอะ กะอัง
อุมิ อะมิ  มะหิ สุตัง  
สุนะ พุทธัง  อะสุ  นะอะ.”


         เสกข้าวกินสามคำ สามเดือน จะอยู่ยงคงกระพัน  เสกข้าวกินสามคำเป็นเวลา2 ปีกระดูกจะเป็นทองแดง เป็นยอดวิชาชาตรี   สิทธิการิยะ พระอาจารย์ แต่งอุปเท่พระคาถาบทนี้ไว้ให้เป็นทานแก่สมณะชีพราหมณ์ กุลบุตรทั้งปวง พระคาถานี้เรียกว่าธัมมะราชาจัดเป็นใหญ่กว่าคาถาทั้งปวง สารพัดกันอันตรายทั้งปวง คุณผีคุณคน ก้างติดคอเสกน้ำให้กิน เสกข้าวเสกน้ำกิ นทุกวันอยู่คงแก่อาวุธทั้งปวง ถ้าเสกกินอยู่ 3 ปี อยู่คงทั้งร่างกายจนกระทั่งถึงกระดูกแล  อยากให้คงถึงบริวารในบ้าน ให้เอาดินสอพองเขียนพระคาถานี้ใส่กระดานชนวนแล้วให้เสก ๑๐๘ ที ลบผงนั้นใส่ตุ่มข้าวเสกทับอีก ๗ ที จงคนเสียให้ทั่ว หุงกินแล้วคงทนทั้งเรือน เสกไคลพระเจดิย์อมไว้คงทนยิ่ง หากหลงป่าเสกใบหมากเม่ากิน จะสามารถอดข้าวได้ ๗ วัน ถ้าศัตรูไล่มาให้เสกกิ่งไม้ขวางทางไว้ ศัตรูจะเห็นเป็นขวากหนามกั้น ทำให้ตามมิทัน ถ้าขโมยเอาของไปจะมิให้มันหนีรอด เอาพระคาถานี้ลงไม้กาหลงหรือใบไม้ทั้งปวงก็ได้ เสก แล้วนำไปฝังตรงที่มันขโมยของไปมันจะมิไปไหน เดินวนเวียนอยู่ในที่นั้นเองหาทางออกมิเจอ  ถ้าจะให้มันเจ็บเท้า ให้เสกหนามแหลมแทงรอยตีนมัน จะเป็นที่ส้นหรือกลางตีน มันไปมิได้ ให้เจ็บเหมือนเหยียบขวากหนามแล พระคาถาบทนี้ฝอยนั้นว่ากันว่าท่วมหลังช้าง แล.(คัดลอกจากต้นฉบับตำราเก่า)

คาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

คาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

พระบูชาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

ตั้งนะโม 3 จบ

นะ ทรงฟ้า โม ทรงดิน พุทธ ทรงสินธุ์ ธา ทรงสมุทร ยะ ทรงอากาศ 
พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด 
ศัตรูภัยพาล วินาศสันติ 
นะกาโร กุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ 
โมกาโร โกนาคะมะโน นานาจิตเต 
พุทธกาโร กัสสะโป พุทโธ จะ ทะเวเนเต 
ธา กาโร ศรีศากะยะมุนี โคตะโม 
ยะกันเน ยะกาโร อะริยะ เมตตรัยโย 
ชิวหาทีเต ปัญจะพุทธา นะมามิหัง

คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นคาถาที่นิยมใช้กันมาก เพื่อความเป็นสิริมงคลป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆสามารถแคล้วคลาดจากศัตรูทั้งหลาย มิอาจกล้ำกลายมาถึงเราได้ ภาวนาทุกเช้าค่ำ จะประสบความร่มเย็นเป็นสุข แคล้วคลาด ปลอดภัย นักแล
ภาวนาก่อนออกจากบ้าน ศัตรูมิกล้ำกลาย เจรจาต่อรองง่ายดาย แม้ศัตรูก็กลับกลายเป็นมิตร เป็นพระคาถาที่วิเศษยิ่งนัก
 
ที่มาของ พระคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ เป็นการเขียนโดยใช้ ตัวย่อนามพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ คือ 
นะ หมายถึง พระกุกกุสันโธ ใช้เขียนแทน ธาตุน้ำ ซึ่งเรียกว่า อาโปธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๒ 
โม หมายถึง พระโกนาคม ใช้เขียนแทน ธาตุดิน ซึ่งเรียกว่า ปฐวีธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๒๑ 
พุท หมายถึง พระกัสสป ใช้เขียนแทน ธาตุไฟ ซึ่งเรียกว่า เดโชธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๖ 
ธา หมายถึง พระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ใช้เขียนแทน ธาตุลม ซึ่งเรียกว่า วาโยธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๗ 
ยะ หมายถึง พระศรีอารยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หลัง พ.ศ.๕๐๐๐) ใช้เขียนแทน อากาศธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๐ เมื่อรวมกำลังธาตุทั้ง ๕ ก็จะเป็นคุณพระพุทธเจ้า ๕๖


อิติปิโสหูช้าง

อิติปิโสหูช้าง



ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า

พุทโธ อิติปิโสภะคะวา 
พุทโธภะ คะวาติ อิติปิโสภะคะวา 
อรหัง อิติปิโสภะคะวา 
สัมมาสัมพุทธโธฯ


ท่านว่าพระอิติปิโสบทนี้ ถ้าหาทรัพย์มิได้ให้เขียนไว้ก้นถุง ทรัพย์มิขาด เลย เสกด้วยคาถานี้ 108 พระคาถานี้กิน มิรู้สิ้นเลย ให้ภาวนาไว้ 108 คาบ ประสงค์สิ่งใดได้ดังปรารถนาแล ถ้าถูก จองจำ ภาวนา 9 คาบหลุดแล ถ้าจะให้ เป็นจังงัง เอาลิ้นดุนเพดานว่า 11 คาบ แลฯ


พระคาถาบทนี้. มีความศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อพรหม ท่านเป็นพระเถราจารย์ที่เก่งกล้าในเรื่องพุทธาคม มากมายด้วยเรื่องราวปาฎิหาริย์
ผู้มีศลีธรรม ประกอบด้วยศรัทธา หมั่นสวดภาวนาเป็นประจำ เช้า-ค่ำ ลาภผลเพิ่มพูนทวี มั่งมีโภคทรัพย์ ทวยเทพเทวดาคุ้มครองรักษา

คาถาบูชาพระสีวลี

คาถาบูชาพระสีวลี


“สีวลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระภิปูชิโต 
โสระโห ปัจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตังสะทา 
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม”




พระธาตุพระสีวลี


พระสีวลีเถรเจ้าเป็นพระอรหันตเจ้าสมัยพุทธกาล ตามประวัติกล่าวว่า ท่านเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา พระมารดาทรงครรภ์นานถึงเจ็ดปีกับอีกเจ็ดวัน แม้จะทรงครรภ์นานเห็นปานนั้น แต่ความลำบากแม้แต่น้อยหนึ่งก็มิได้มีแก่พระมารดา มิหนำซ้ำพระมารดายังสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยลาภสักการะเป็นอันมาก... 

บุรพกรรมที่ทำให้ท่านต้องอยู่ในครรภ์นานถึงเพียงนั้น กล่าวไว้ว่าในชาติก่อนท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ได้ยกทัพไปตีเมืองอื่น ทำการล้อมเขาไว้ตามคำแนะนำของพระมารดา เป็นเวลานานถึงเจ็ดปีกับอีกเจ็ดวัน เขาจึงยอมแพ้ มาในชาตินี้ท่านถึงต้องทนอยู่ในครรภ์พระมารดา เป็นเวลาเท่ากันเพื่อใช้หนี้กรรม...! ต่อมาท่านได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสจึงทูลขออุปสมบท เพียงมีดโกนจรดศีรษะก็ได้โสดาปัตติผล ปลงผมเสร็จก็สำเร็จอรหัตผล เป็นผู้มีลาภสักการะยิ่งกว่าผู้ใด องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศไปด้วยลาภ... 

ความเป็นเลิศในด้านลาภผลของท่านปรากฏชัด ครั้งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ องค์ เสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะ ณ ป่าไม้ตะเคียน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถามทางจากพระอานนท์ พระอานนท์ทูลตอบว่า ทางตรงลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต มีแต่อมนุษย์เป็นจำนวนมาก มีระยะทาง ๖๐ โยชน์ ส่วนทางอ้อมสะดวกต่อการบิณฑบาต มีบ้านเรือนเป็นระยะไป แต่หนทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์...! 

องค์สมเด็จพระบรมสุคตตรัสว่า “พระสีวลีมาด้วยหรือไม่...?” พระอานนท์ทูลว่า “มาด้วยพระเจ้าข้า” องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระดำรัสว่า “อานันทะ ดูกรอานนท์ ถ้าสีวลีมาด้วย เราจะไปทางตรง...” เมื่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วพร้อมด้วยภิกษุทั้ง ๕๐๐ เสด็จไปทางตรง บรรดาเทวดาทั้งหลายก็เนรมิตที่พักเป็นระยะ ๆ ไปตลอดทาง ๖๐ โยชน์ และนำอาหารมาถวายเฉพาะพระสีวลี มีจำนวนมากพอที่จะถวายองค์สมเด็จพระบรมศาสดา และภิกษุทั้ง ๕๐๐ โดยทั่วถึงกัน... 

บุรพกรรมที่ทำให้มีลาภมากนี้ กล่าวไว้ว่า ในชาติหนึ่งมหาชนทั้งหลายตั้งใจถวายทานต่อภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ของทุกอย่างมีครบแล้ว ยกเว้นน้ำผึ้งสดเพียงอย่างเดียว ชนทั้งหลายจึงพากันออกหาน้ำผึ้งสดเป็นการใหญ่... พระสีวลีในชาตินั้นเป็นชายตัดฟืน พอดีได้ผึ้งมาหนึ่งรัง ชนเป็นอันมากเหล่านั้นขอซื้อ ให้ราคาถึงหนึ่งพันกหาปณะท่านก็ไม่ขาย แต่ขอร่วมทำบุญด้วย อานิสงส์การทำบุญปิดท้ายมหาสังฆทานด้วยน้ำผึ้งสดรวงเดียวในชาตินั้น บันดาลให้ท่านเกิดมาถึงพร้อมด้วยลาภสักการะทุกชาติ เทวดาที่นำอาหารมาถวาย คือชนทั้งหลายที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนั้นเอง... 

“หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า คืนหนึ่งท่านเจริญกรรมฐานอยู่ เห็นประกายสีเขียวนวลสว่างจ้าอยู่บนขื่อ มีเสียงบอกว่าขอมาอยู่ด้วย “หลวงพ่อ” ถามว่าเป็นใคร เสียงนั้นตอบว่า “ผม...สีวลี ครับ” รุ่งเช้าท่านขึ้นไปดูบนขื่อ พบพระธาตุพระสีวลีองค์หนึ่งจริง ๆ จึงเก็บเอามาบูชาไว้... อาตมาได้ยินดังนั้นก็เกิดความ “อยาก” ได้ขึ้นมา อุตส่าห์ไปค้นหาคาถาบูชาพระสีวลีมาท่อง คาถาก็ยาวจัง จึงตัดทอนเอาสั้น ๆ แค่ว่า 

“สีวลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระภิปูชิโต โสระโห ปัจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตังสะทา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม”

ท่องไปขอไป ขอให้ได้พระธาตุพระสีวลีมาบูชา เวลาผ่านไปสามเดือน มีผู้นำพระธาตุพระสีวลีมาถวาย จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่ จนอาตมาเห็นว่าได้มากแล้ว ขอแค่นี้ก็พอ...อาตมาแบ่งปันพระธาตุพระสีวลีให้แก่นัน (นันทิญา) ๑ องค์ เกียง (มาลินี) ๑ องค์ พี่วิไล (วิไลวรรณ) ๑ องค์ เหลือไว้บูชาเอง ๑ องค์ แต่ไม่นานมานี้ ได้มอบให้กับหัวหน้าสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลองคือ คุณประเดิมชัย แสงคู่วงษ์ไปเสียแล้ว เห็นทีต้องท่องคาถาใหม่อีกตามเคย... 

พระธาตุพระสีวลีเถระมีลักษณะขรุขระ แบบที่ค่อนข้างเรียบมีลักษณะคล้ายเม็ดมะละกอ แบบปานกลางคล้ายเม็ดพุทรา แบบขรุขระมากมีลักษณะคล้ายลูกยออ่อน มีสองสีคือ เขียวแก่แบบใบผักตบ กับเหลืองเหมือนหวายตะค้า ที่อาตมาได้มานั้น สีเหลืองเหมือนหวายตะค้าทั้งสี่องค์... 

หากท่านผู้อ่านท่านใดต้องการพระธาตุพระสีวลีไว้บูชา ก็โปรดทดลองท่องคาถาดู ของอย่างนี้ใครบอกก็อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าเราจะทำเห็นผลเอง ถ้าท่านมีความอดทนพอ มีสัจจะแน่วแน่มั่นคง คิดว่าในเวลาไม่นาน ท่านก็จะเห็นผลเช่นเดียวกัน... “กับของจริง ต้องทำจริง จึงจะได้ผลจริง”

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๓ 
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
__________________

คาถาพระอิติปิโสถอยหลัง

คาถาพระอิติปิโสถอยหลัง


ติวาคะภะ โธพุท นังสานุสมะวะเทถาสัต ถิระสามะทัมสะริปุ โรตะนุตอะ ทูวิกะโล โตคะสุ โนปันสัมณะระจะชาวิชโธพุทสัมมาสัม หังระอะ วาคะภะ โส ปิติอิ ฯ


         สิทธิการิยะ พระอิติปิโสถอยหลัง ผู้ใดเล่าไว้ คุ้มได้มากครัน ศัตรูนึกหวัง มิได้กล้ำกราย เป็นเสน่ห์แก่เขา เข้าหาเจ้านาย ท้าวพระยาทั้งหลาย มีจิตเมตตา ปรารถนาสิ่งใด นึกไว้ในใจ ดังคิด อย่าได้แคลงจิต คิดไปสู่อื่น ฝูงคนทั้งพื้น คงจะบูชา พระคาถานี้ อุปเท่ห์พิธี เหลือจะพรรณนา ปลุกเสกกายา ได้สมดังใจ คงกระพันชาตรี ฤทธีมากมาย ขอท่านทั้งหลาย จงหมั่นภาวนา ๚
         ⊚ จะกล่าวอุปเทห์ พระอิติปิโสถอยหลัง ผู้ใดเรียนได้ไว้เป็นปิยัง ศัตรูนึกหวัง บ่มิกล่ำกลาย เป็นที่เสน่หา เทพาอารักษ์ มนุษย์หญิงชาย สิ่งใดปรารถนา ภาวนาอย่าคลาย ถ้วน ๑๐๘ หมายทำเมื่อเที่ยงคืน คนรักหนักหนา คือดังญาติกา ทั้งอายุยืน จะทำสิ่งไร ตั้งใจอย่าขืน คืออย่าเป็นอื่น บ่ายหน้าหนบูรพ์ ไม่รักซ้อนแกะทำ พระภควัมอย่าสูญ ใส่น้ำมันแช่ เสกแปรเป็นคุณบ่ายหน้าหนบูรพ์ จนพระลุกนั่ง ใช้เป็นเสน่ห์ ล่องหนกำบัง ออกสงครามเจรจา ท้าวพระยาปิยัง ฝูงชนทั่วทั้ง รักนักรักหนา ถ้าท่านจองจำ ตั้งจิตบริกรรม ด้วยพระคาถา มนต์น้ำหมากนั้น ๑๔ คาบครา ถูกต้องชื่อคา ลุ่ยหลุดบัดใจ ถ้าหาน้ำหมากมิได้ อาจารย์กล่าวไว้ ให้ร่ายเป่าไป ชื่อคาอันแข็ง อ่อนคือลนไฟ เสกสิ่งใด ๆ กินคงกระพัน ๑๓ คาบนา ๑๕ คาบว่า ใช้เป็นจังงัง โดยท่านกล่าวมา เอาลิ้นแทงเพดาน ๑๕ คาบ อย่าคลาด เป่าไปอย่าคลา กระทืบตีนออกมาอาวุธศาตรา ลุ่ยหลุดจากมือ ๑๑ คาบนั้น ท่านให้เลือกถือ จังงังมนุษย์ คือถืออาวุธ ลุ่ยหลุดจากมือ มหาละลวยฤา เป็นได้เหมือนกัน ให้ร่ายเป่าไป ๑๑ คาบนั้นไซร้ เป่าไปสู่มัน มันมาหาเรา เข้าผูกมัดขันชะเนาะ บ่ายหน้าจำเพาะ สู่หัวเชือกเข้า ถ้วน ๑๐๘ เป่าสู่หัวเชือกเข้า ลุ่ยหลุดแลนา ถ้าจะลุยอัคคี เสกหมากกินดี เสกน้ำมนต์ทา ๕ คาบให้ไว้ ให้ใช้คาถา เสกน้ำมนต์ทา ไม่มีโภยภัย ถ้าจะล้างตะกั่ว เสกน้ำมันมะกรูด ยกมือขึ้นไหว้ เจ้าประคุณทูนหัวไม่มีอันตราย ผิวว่าจะแก้ คุณเขาทำแล แม้คุณทั้งหลาย ยีนเหนือลมร่าย ๑๐ คาบโดยหมาย เป่าไปอย่าคลา หายสิ้นสูญพลันเมื่อทำรำลึก ตรีกหาพระพุทธ ธรรมะสังฆา ขอคุณบิดา ทั้งพระมารดา คุณครูอุปัชฌาย์ อยู่เหนือเกศา เสกหมากให้กิน ท่านรักนักหนา เสกน้ำล้างหน้า เมื่อมีทุกข์ภัย ทั้งสองสิ่งนี้ เสก ๔ คาบครา ไม่ม้วยมรณา เทวดาดลใจ อนึ่งเล่าหนาขอดชายผ้าไว้ผูกเป็นหัวพิรอด ๑๗ คาบใส่ หัวประเจียด ภาวนาเดินไปขึ้นลงที่ไหน คนไม่เห็นเรา ปัดพิษงูตะขาบ แมลงป่อง ๓ ที คงกระพันชาตรี ๑๙ คาบหนา แม้นเขาตามไป หักกิ่งไม้มา เสกขวางมรรคา เสกสิ่งๆ ไร ตามใจปรารถนา ศัตรูตามมา แคล้วคลาดไปไกล อนึ่งท่านไว้ว่า ให้เอาใบไม้ รู้นอน ๗ สิ่ง ตายโหงตายห่า ไปพัดพลีมา วันภุมมาเสารี เสกคาถานี้ ๑๐๘ คาบหนา พาตัวเดินไปเข้าในหลังคา ฝูงชนทั้วหน้า พากันหลับใหล ฯ